019 ธรรมปัจเวกขณ์ ได้เตือนกันถึงเรื่องที่พวกเรา ว่าเราเอง เราติดแป้นหรือไม่ เป็นศาลเจ้า ที่เราเป็นเจ้า ติดศาลหรือไม่ นั่นเป็นจุดสำคัญ การได้มรรคได้ผล หรือว่าการได้ที่อาศัย ที่พักพิง มันก็จะได้ที่อาศัย ที่พักพิง ที่เป็นสิ่งล่อใจ ผู้ที่เกิดรส เป็นธรรมรสแท้แล้ว จะรู้สึกว่า มันสบาย และก็เป็นการสบาย ของธรรมะนี่ มันจะยอกย้อน เสียบแทง อย่างสำคัญที่สุด ตรงที่ว่า จะหลงง่าย หลงที่ตรงมันหยุด มันเบา มันว่าง ถ้าเผื่อว่าเข้าใจธรรมะโดย ปรมัตถธรรม ขั้นสูงไม่ได้ เราจะหลงสูง เห็นว่า อ๋อ! การที่ได้เบา ว่างง่าย มันคือการอยู่เฉยๆ ว่างง่าย แล้วก็หยุดไปเลย ไม่มีสมรรถภาพ ของความเป็น มนุสโส หรือ ผู้มีคุณค่า เป็นมหาบุรุษ หรือเป็นเอกบุรุษ ที่มี พหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ มันจะไม่รู้เลยว่า เราจะมี คุณลักษณะอันนี้ กลายเป็น ผู้ที่จะติดเสพ เลิกละหลุดมาแล้ว เราก็ไม่ต้อง ไปเกี่ยว ไปเกาะ ไปวุ่น ไปวาย กับมันแล้ว เราก็จะไม่ขวนขวาย ในอะไรอื่นๆอีก หลุดอะไรได้แล้ว เราก็ไปเสพติดฐานใหม่ ที่เราพรั่งพร้อม ให้สิ่งที่มันหยาบ มันหนัก เราก็วาง ก็ทิ้งมาแล้ว มันก็เบา แล้วเราก็จะเสวย สิ่งที่ใหม่ สิ่งที่เราได้นั้น อันพอเพียงพอได้ เพราะว่าเราเอง มันไม่ผลาญพร่า มันไม่ร้ายกาจ มันไม่หนักหนา มันไม่วุ่นวายเท่า เพราะฉะนั้น เราทิ้งของหยาบมาได้ ก็เบาขึ้นๆ ลักษณะเบาพวกนี้ ถ้าเราไม่ถ่ายเท เปลี่ยนพลังงาน ให้ไปเป็นพลังงาน ที่มีคุณค่าอีก หรือ เรามองพลังงาน ที่จะสร้างสรรนี้ เป็นสภาพ ความเหน็ดเหนื่อย เป็นความยากลำบาก คนนั้นไม่รู้จักกรรม ไม่รู้จักการงาน ไม่รู้จักพฤติกรรมมนุษย์ หรือ ไม่รู้จักบทบาท อันเป็นคุณค่า ของมนุษย์ เราก็จะกลาย เป็นคนไม่ทำงาน แต่ถ้าเราเข้าใจถึงบทบาท การทำงานเหล่านั้น เรายิ่งเบา จากสิ่งที่เราไม่ต้อง ไปเสียค่า เสียแรงงาน เสียเวลา เสียทุนรอนด้วย เราก็กอบกู้ สิ่งเหล่านั้น เอามาทำ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณค่าได้อีก การทำงานโดยสัจจะ มันก็ต้องเมื่อยกว่า การอยู่เฉยๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า ผู้ดูผิวเผิน ก็จะระลึกว่า การอยู่เฉยๆนั้น คือความเบา ว่างง่าย มันเป็นพื้นฐาน ใครก็รู้ แต่มันไม่ใช่คุณค่า ที่แท้จริง มันเป็นสิ่งที่จะถ่วง ถ่วงให้ผู้ที่ หลงผิดนั้น กลายเป็นคนอยู่เฉย ศาสนาที่ไม่รู้ทั่วถึง หรือศาสนา ที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์ เป็นเดียรถีย์ ก็สามารถไม่ไปวุ่นวาย ไม่ไปคลุกคลี ไม่ไปยุ่ง กับไอ้เรื่องโลกๆ ได้เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่สามารถ ที่จะสร้าง ค่าของตัวเอง ให้เป็นคุณค่าขึ้นได้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ยอด จึงแก้ปม ประเด็นนี้ได้ เพราะฉะนั้น เราได้อะไรแล้ว ในขั้นตอน ฐานอะไรๆมา เราก็จะต้องรู้เอง แน่นะที่เราได้ เราไม่ติดไม่เสพ แม้เราจะคลุกคลี เกี่ยวข้อง ปนอยู่กับสิ่งนั้น เราก็จะต้อง ให้แน่ใจ เมื่อแน่ใจแล้ว ต้องขวนขวาย ที่จะหาฐานใหม่ หาสิ่งที่จะประพฤติปฏิบัติ ให้แก่ตนใหม่ ให้หนักหนายิ่งขึ้น ไอ้สิ่งที่ตนเองเสวยนั้นแหละ ส่วนมาก ส่วนที่เราเอง เราเสวย เราอาศัยนั่นแหละ นั่นแหละคือ ฐานที่เรา จะต้องรู้ว่า เอ๊! มันเป็นฐาน ที่อันเกษมแล้วหรือ มันเป็นฐาน หรือว่าเป็นศาลเจ้า มันยึดเกาะได้นิรันดร์ หรือว่า สูงสุดแล้วหรือ มันจะเลื่อนขั้น กว่าฐานหรือศาล ที่เราเกาะอยู่ ได้อีกมั้ย วิเคราะห์เจาะลึกลงไป ในฐานะตัวตน ที่เราอาศัยนั่นอีก เห็นความบกพร่อง เห็นความที่ควร จะเลื่อนชั้น ไปกว่านี้ เห็นที่สูงกว่านี้ เห็นสภาพที่ เจริญ งอกงามกว่านี้ ให้ได้อีก แล้วเราก็จะเห็นว่า แม้แต่ศาล ที่เราได้นั้น เราเป็นเจ้าครองศาล แค่นั้น ยังเป็นศาลเตี้ยอยู่เลย ศาลสูงกว่านี้มีอีก สิ่งลึกซึ้ง เจริญงอกงาม กว่านี้มีอีก แล้วเราจะต้อง อุตสาหะ วิริยะอีก การตัดกิเลส ให้แก่ตัวเองนั้น ยิ่งสูงขึ้น ก็ต้องยิ่งอุตสาหะ วิริยะ เพราะมันมีตัวหลอก หรือ ตัวที่เราได้แล้ว เสวยศาล เสวยฐานแล้ว เสวยศาลหรือเสวยฐาน หรือได้อาศัยแล้ว มันจะบอก เอ๊! เราก็มีที่อาศัย พอสมควร มองไปอีกโลกหนึ่ง หรือมองไป อีกมุมหนึ่ง ของมนุษย์ ก็เห็นว่า เราก็สูงกว่าเขา มาด้วยซ้ำ เราก็ได้ดีกว่าเขา ขึ้นมาแล้ว มันจะทำให้ เราเผิน แล้วก็หลงตัวได้ง่าย เราก็ได้ดี มาพอสมควรแล้วนี่ ตะกละอะไร แล้วก็เลยไปเอา เหตุผลที่มันซ้อนๆนี้ว่า เราก็ดีแล้วนี่นา มักมากอะไรอีก อันนี้แหละ พระพุทธเจ้า ถึงได้ต้อง ออกสูตร ฐีติสูตร มาว่า เราไม่สรรเสริญ คนหยุดอยู่ หรือทรงอยู่ เท่าเดิม เราสรรเสริญ คนที่วุฑฒิ วุฑฒิ ป่วยการ กล่าวไปใย กับคนเสื่อม เพราะฉะนั้น คนที่เสื่อม แน่นอน ท่านย่อมไม่สรรเสริญ แม้แต่คนทรงอยู่ ท่านยังไม่สรรเสริญ ท่านสรรเสริญ คนที่เจริญยิ่งๆ ฉะนั้น ถ้าผู้ใดติดแป้น ผู้นั้นจะเป็น ปปัญจารามตา จะเป็นคนช้า จะเป็นคนร่องแร่งๆ อยู่นั่นแหละ ดีไม่ดี ก็ถูกผี ลากลงไปอีก ด้วยซ้ำ จะไม่มีฐานที่สูง จะไม่มีพลัง อินทรีย์ที่แก่กล้า ในขณะที่ เราเหมือนกับ เหล็กร้อนๆ เผาไฟ รีบตี รีบนวด เหล็กนั้นก็จะ ได้รูปได้ร่าง ได้อะไร ที่ดีขึ้นทีเดียว ทีนี้เราก็ปล่อยเฉื่อย ปล่อยแฉะ จะแก้มันที ก็ยาก จะบิดกันที จะเบี้ยวกันที จะปรับกันที ก็แข็ง ก็กระด้าง ก็ปรับยาก นวดยาก แก้ยาก ก็ทั้งช้า ทั้งนวดยาก ยิ่งมีอะไรต่ออะไร ที่ทำให้เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ที่มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องพยายาม รู้ความจริง ของเราเอง ให้ได้ว่า เราได้อะไรแล้ว ถ้ารู้ว่า ดีจริงแล้ว อย่าติด จริงเราจะอาศัยฐานนั้น มันก็เบาๆ ง่ายๆ แล้วเราก็ไม่หา ฐานสูง ที่จะประพฤติ ปฏิบัติ อุตสาหะวิริยะ เพิ่มขึ้น มันก็ไม่หนัก มันก็ไม่เหน็ด มันก็ไม่เหนื่อย มันก็จริง แต่คุณจะเอาอยู่ แค่นั้นหรือ ขอย้ำ ถามคุณ คุณจะเอาอยู่ แค่นั้นหรือ จะแช่อิ่ม อยู่แค่นั้นหรือ พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่า ท่านถึงได้ออกสูตร ฐีติสูตร ออกมาว่า ท่านไม่สรรเสริญ คนหยุดอยู่ คนทรงอยู่ เท่าเดิม ติดตังอยู่เท่าเก่า ท่านไม่สรรเสริญ ไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะไปถึง ยอดสูงสุด นั้นไม่ได้ เพราะเคยแนะนำ เป็นอุทาหรณ์ว่า จะเดินไปถึงนิพพานนี่ ข้างทาง เป็นสวนสวรรค์ รอบไป รอบทางไปเลยอยู่ละ ทางไป มีสวนสวรรค์ ที่แวะแล้ว ก็หลงมันทั้งนั้น แล้วคนที่ ไม่ได้เข้าใจ อย่างถูกต้องแล้ว จะหลง สวนสวรรค์ตาย ตกอยู่อย่างนั้น ช้า เนิ่นนาน อยู่อย่างนั้นแหละ มากกว่ามาก ผู้ที่จะไม่ติดไม่ยึด ในสวรรค์ข้างทาง จะได้รู้ว่า อ๊อ! สวนสวรรค์ดีอย่างนี้ แล้วก็รีบเดินออกมา มาทางที่ จะปีนป่าย อุตสาหะ วิริยะ มานะ กัดฟันต่อสู้ เพิ่มขึ้นอีกนั้นได้ หาได้ยากนัก เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ตัวนี่ว่า เราจะเป็นคนที่ ฉ่ำแฉะ เฉื่อยชา ปล่อยปละ ละเลย ให้เป็นไป เพื่อความเนิ่นช้า อย่างนั้นหรือ พระพุทธเจ้า ท่านตราไว้ว่า ข้อที่ ๘ ปปัญจารามตา ผู้ทำอะไร ให้เป็นไป เพื่อความเนิ่นช้า ผู้นั้นเป็นผู้เสื่อม ความเสื่อม ๘ ประการ ข้อนี้เป็นข้อที่ ๘ การช้านี่ มันช้าด้วยเหตุผล หลายอย่าง และเหตุผลข้อนี้ ก็กำลังแนะนำเรา เพราะว่า เป็นเรื่องของ ฐานมานะ เป็นฐานถือดี เป็นฐานหลงดี อาศัยภูมิ เท่าเดิมนะ หลงตัวว่า ตัวเองเท่านี้ๆแล้ว ไม่เอา หลงตัวว่าเท่านี้ๆอยู่ ก็ไม่พอ เราจะยึดมั่นถือมั่น ว่าเราเสมอเขา เท่าเขา เราไม่มากแล้ว เราไม่เอากว่านี้ก็ได้ ไม่เอา, อย่างนั้นไม่เอา, แม้คุณจะมั่นใจว่า คุณไม่เสื่อมกว่านั้น ก็ตาม หรือ คุณจะไม่เสื่อมได้จริงๆ ก็ตาม พระพุทธเจ้า ก็ไม่สรรเสริญ พระโพธิรักษ์ ก็ไม่สรรเสริญ ไม่ต้องเอาพระพุทธเจ้า แม้แค่พระโพธิรักษ์ ก็ไม่สรรเสริญ แม้จะรู้น้อย เช่นนี้ เพราะฉะนั้น ผู้รู้มากถึงขนาด พระพุทธเจ้า ไม่สรรเสริญแล้ว ทำไมไม่สะดุ้ง สะเทือน พระโพธิรักษ์ ก็ไม่ได้สูง เท่าพระพุทธเจ้า ก็ไม่สรรเสริญ ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราก็จะต้อง พยายามเข้าใจ จุดเป้าพวกนี้ ข้อสำคัญ ขอให้เราชัดเจน ขอให้แม่นว่าเราได้ ได้แล้วอย่าเสพติด ก็เจ้าเสพติดนี่ แหม! แสบปวดนัก เสพติดนี่ แสบปวดนัก รู้ตัวให้ดีได้ เราไปเสพติด ยาฝิ่น ยากัญชา ก็รู้อยู่ว่า มันแสบปวด อย่างโลกๆ หยาบๆ มาเสพติดกาม มาเสพติดสรรเสริญ มาเสพติด อัตตาตัวตน มาเสพ ภูมิภพที่สงบ มันก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ที่ทำให้ เราเนิ่นช้า เพราะฉะนั้น เราจะไม่เสพติด ในจุดอะไรๆ เราจะเข้าใจว่า ได้แล้ว ถอดถอน เปลี่ยนเพิก เรียกว่า สมาธิสฺส วุฎฐานะ เพิกถอน พยายามทำ อันใหม่ หากัลลิตะใหม่ หาองค์ใหม่ หาภูมิใหม่ หาสภาพ ที่จะเจริญงอกงาม ขึ้นใหม่ให้ได้ ให้ได้เสมอ วันนี้ก็ขอแนะนำ จุดสำคัญพวกนี้ ให้แก่พวกเรา เราจะต้องก้าวหน้า เราจะต้องเพิ่มภูมิ เราจะต้อง เดินทางไป ให้ไกลที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ เราได้มาขนาดนี้ ก็ดีแล้ว อย่าเหลิงใจ อย่าระเริง เรายังมี ดีกว่านี้อีก ที่เราควร จะเป็นไป ก็ขอให้พวกเรา ตรวจตรา ตรวจตนให้แม่น ให้แม่นๆ แน่นอน คนที่หลงตนว่า ยังไม่ได้แล้วหลงว่าได้ ระวังนะ น่าสงสาร ยิ่งกว่าอีกนะ ถ้าเราไม่ได้ แล้วเราก็จะเอาแต่ ก้าวตะพึด ก้าวโดย ทั้งๆที่ตัวเอง ก็ไปไม่รอด ยังผูกโซ่ไว้ที่ ฐานต้นอยู่ แล้วยังอุตส่าห์ จะก้าวกับเขา มันก้าวไม่ได้ ขาฉีกตายนะ ไม่ได้เดินหรอก ตรวจให้แม่น ตรวจให้ชัด แล้วอย่าเสพติด นี่เป็นเป้า ที่อยากจะเตือน สำทับ แล้วเราจะได้ สัมมนาตัวเอง จะได้อุตสาหะวิริยะ ไม่หลงความเบา ความง่าย ความลวง อย่างที่เรียกว่า ก็ไม่ใช่ว่าลวง อย่างตื้นต้นทีเดียว แต่มันลวงล่อให้เรา หลงสรวงสวรรค์ อันนี้เป็นสำคัญ ขอให้ทุกคน ระลึกตรวจตรา แล้วก็อุตสาหะ ตั้งศีล ตั้งพรต ให้สมฐานะของตัว แล้วเราจะเดินไป ให้ดีที่สุด ก้าวหน้าไป ให้ทั้งเร็ว และไกล ได้มากที่สุด เท่าที่จะพากันไป สาธุ. |